สวัสดีคนไทยใจดียิ้มสยามทุกท่านครับ
หายหน้าหายตาไปนานก็เหมือนกัน ไม่ได้หายไปไหนเลย อยู่ที่เดิมเสมอครับ ไปไหนไม่ได้ เพราะงานเยอะจริงๆ ต้องพยายามเคลียร์งานให้เสร็จทันก่อนที่เดินทางไปแคนาดาต้นเดือนหน้า
แต่วันหยุดนี้ยังพอมีเวลาบ้าง(นิดหน่อย) ไม่ทราบว่าท่านไปเที่ยวไหนกันบ้าง กลับมาก็อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังนะครับ แต่ผู้เขียนไม่ได้ไปไหนเลย อยู่ในกรุงเทพนี่แหละ ไม่รู้จะไปไหน เพราะบ้านอยู่กรุงเทพ(แหะๆ) ได้เล่นสงกรานต์บ้าง ถนนข้าวสารก็ไปมานะ คนเยอะนะครับ ก็อดดีใจแทนคนไทยไม่ได้ที่มีเทศกาลนี้ และเราก็ช่วยกัน ตื่นตัวกันเต็มที่ในอันที่จะรักษาวัฒนธรรมของไทยนี้ไว้ให้นานเท่านาน
ได้ไปเห็นคนที่เล่นสงกรานต์กันทุกเพศทุกวัย มีความสุขก็อดยิ้มไม่ได้ ผู้เขียนนะครับที่คนเราไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ทำอะไรแล้วทุกคน หรือคนที่อยู่ด้วย มีความสุขและสบายใจ แต่...ก็มีบ้างนะครับคนที่ฉวยโอกาส น่าดีใจครับมีน้อยมากๆ ปีนี้ เห็นทุกท่านหัวเราะ ยิ้มให้กัน ปรารถนาดีต่อกัน นั่นแหละคือภาพที่สุดยอด
ไม่ใช่เพียงคนไทยนะครับที่ให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้ ชาวต่างชาติก็ไม่น้อยนะครับที่มาร่วมกับเทศกาลสงกรานต์ในคราวครั้งนี้ พอเห็นคนไทยเล่นสงกรานต์แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่เรียนอยู่ที่ประเทศอินเดีย เพราะก็ได้ร่วมเทศกาลที่คล้ายๆกันนี้ แต่เขาจะเล่นสีด้วย ก็ร่ายมาซะยาว คราวนี้เราก็มาดูซิครับว่าเทศกาลนี้มีความเป็นมาอย่างไร
*****ความเป็นมาของวันสงกรานต์
เมื่อถึง เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ของทุก ๆ ปีเราเรียกวันนี้ว่า “วันสงกรานต์” ประเพณีไทยเดิมถือว่าวันนี้เป็น วันขึ้นปีใหม่ ธรรมเนียมไทยเราก็จะมีการเล่นรื่นเริง มีการรดน้ำดำหัว โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ จะสนุกกันเต็มที่เล่นสาดน้ำกันโดยไม่ถือเนื้อถือตัวเลยในชนบทหลายแห่ง มีการเล่นพื้นเมืองต่างๆ กัน อนึ่งวันนี้บางแห่งจะเริ่มจากวันที่ ๑๓ เมษายน และมีการเล่นสนุกสนานไปราว ๆ ๑ สัปดาห์ หรือกว่านั้น แต่ไม่เกิน ๒ สัปดาห์ ระยะนี้จะมีการนำน้ำหอมเสื้อผ้าอาภรณ์ไปรดน้ำผู้ใหญ่ ญาติพี่น้องที่เคารพนับถือและทางศาสนาก็จัดให้มีการบายศรีพระสงฆ์สมภารเจ้าวัด สรงน้ำพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เท่าที่มีตามวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง กำเนิดวันสงกรานต์ มีเรื่องเล่าสืบ ๆ กันมา น่าจดจำไว้ดังข้อความจารึกวัดเชตุพนฯ ได้กล่าวไว้ประดับความรู้ของสาธุชนทั้งหลายดังต่อไปนี้
“เมื่อต้นภัทรกัลป์ มีเศรษฐีคนหนึ่ง มั่งมีทรัพย์มาก แต่ไม่มีบุตร บ้านอยู่ใกล้นักเลงสุรา นักเลงสุรานั้นมีบุตร ๒ คน ผิวเนื้อดุจทอง วันหนึ่งนักเลงสุราเข้าไปในบ้านของเศรษฐี แล้วด่าเศรษฐีด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ เศรษฐีได้ฟังจึงถามว่า พวกเจ้ามาพูดหยาบคายดูหมิ่นเราผู้เป็นเศรษฐีเพราะ เหตุใดพวกนักเลงสุราจึงตอบว่า ท่านมีสมบัติมากมายแต่หามีบุตรไม่ เมื่อท่านตายไปสมบัติก็จะอันตรธานไปหมด หาประโยชน์อันใดมิได้ เพราะขาดทายาทผู้ปกครอง ข้าพเจ้ามีบุตรถึง ๒ คนและรูปร่างงดงามเสียด้วย ข้าพเจ้าจึงดีกว่าท่านเศรษฐีครั้นได้ฟังก็เห็นจริงด้วย จึงมีความละอายต่อนักเลงสุรายิ่งนัก จึงนึกใคร่อยากได้บุตรบ้าง จึงทำการบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อขอให้มีบุตรอยู่ถึง ๓ ปี ก็มิได้มีบุตรสมดังปรารถนา เมื่อขอบุตรจากพระอาทิตย์และพระจันทร์มิได้ดังปรารถนาแล้วอยู่มาวันหนึ่งถึงฤดูคิมหันต์จิตรมาส (เดือน ๕) โลกสมมุติว่าเป็นวันมหาสงกรานต์ คือ พระอาทิตย์ยกจากราศีมีนประเวสสู่ราศีเมษ คนทั้งหลายพากันเล่นนักขัตฤกษ์เป็นการรื่นเริงขึ้นปีใหม่ทั่วชมพูทวีป ขณะนั้นเศรษฐีจึงพาข้าทาสบริวาร ไปยังต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำอันเป็นที่อยู่แห่งปักษีชาติทั้งหลาย เอาข้าวสารซาวน้ำ ๗ ครั้ง แล้วหุงบูชา รุกขพระไทรพร้อมด้วยสูปพยัญชนะอันประณีต และประโคมด้วยดุริยางค์ดนตรีต่าง ๆ ตั้งจิตอธิษฐาน ขอบุตรจากรุกขพระไทร รุกขพระไทรมีความกรุณา เหาะไปขอบุตรกับพระอินทร์ให้กับเศรษฐี พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตร ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ บิดามารดาขนานนามว่า ธรรมบาลกุมาร แล้วจึงปลูกปราสาทขึ้นให้กุมารอยู่ใต้ต้นไทรริมสระฝั่งแม่น้ำนั้น ครั้นกุมารเจริญขึ้น ก็รู้ภาษานกแล้วเรียนจบไตรเพทเมื่ออายุได้ ๘ ขวบ และได้เป็นอาจารย์บอกมงคลการต่าง ๆ แก่มนุษย์ชาวชมพูทวีปทั้งปวงซึ่งขณะนั้นโลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหม และกบิลพรหมองค์หนึ่งได้แสดง มงคลการแก่มนุษย์ทั้งปวง เมื่อกบิลพรหมแจ้งเหตุที่ธรรมกุมารเป็นผู้มีชื่อเสียง เป็นที่นับถือของมนุษย์ชาวโลกทั้งหลาย จึงลงมาถามปัญหาแก่ธรรมกุมาร ๓ ข้อ ความว่า
๑.เวลาเช้า สิริคือราศีอยู่ที่ไหน
๒.เวลาเที่ยง สิริคือราศีอยู่ที่ไหน
๓.เวลาเย็น สิริราศีอยู่ที่ไหน
และสัญญาว่า ถ้าท่านแก้ปัญหา ๓ ข้อนี้ได้เราจะตัดศีรษะเราบูชาท่าน ถ้าท่านแก้ไม่ได้ เราจะตัดศีรษะของท่านเสีย ธรรมกุมารรับสัญญา แต่ผลัดแก้ปัญหาไป ๗ วัน กบิลพรหมก็กลับไปยังพรหมโลก ฝ่ายธรรมบาลกุมารพิจารณาปัญหานั้นล่วงไปได้ ๖ วันแล้วยังไม่เห็นอุบายที่จะตอบปัญหาได้จึงคิดว่าพรุ่งนี้แล้วสิหนอ เราจะต้องตายด้วยอาญาของท้าวกบิลพรหม เราหาต้องการไม่ จำจะหนีไปซุกซ่อนตนเสียดีกว่า คิดแล้วลงจากปราสาทเที่ยวไปนอนที่ต้นตาล ๒ ต้น ซึ่งมีนกอินทรี ๒ ตนผัวเมีย ทำรังอยู่บนต้นตาลนั้น ขณะที่ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นตาลนั้น ได้ยินเสียงนางนกอินทรีถามผัวว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน นกอินทรีผู้ผัวตอบว่า พรุ่งนี้ครบ ๗ วันที่ท้าวกบิลพรหม ถามปัญหาแก่ธรรมบาลกุมาร แต่ธรรมบาลกุมารแก้ไม่ได้ ท้าวกบิลพรหมจะตัดศีรษะเสียตามสัญญา เราทั้ง ๒ จะได้กินเนื้อมนุษย์ คือ ธรรมบาลกุมารเป็นอาหาร นางนกอินทรีจึงถามว่าท่านรู้ปัญหาหรือ ? ผู้ผัวตอบว่ารู้แล้วก็เล่าให้นาง นกอินทรีฟังตั้งแต่ต้นจนปลายว่า
๑. เวลาเช้าราศีอยู่ที่ หน้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า
๒. เวลาเที่ยงราศีอยู่ที่ อก คนทั้งหลายจึงเอาน้ำและแป้งกระแจะจันทร์ลูบไล้ที่อก
๓. เวลาเย็นราศีอยู่ที่ เท้า คนทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า
ธรรมบาลกุมารนอนอยู่ใต้ต้นไม้ได้ยินการสนทนาของทั้งสองก็จำได้ จึงมีความโสมนัส ปีติยินดีเป็นอันมาก แล้วจึงกลับมาสู่ปราสาทของตน ครั้นถึงวาระเป็นคำรบ ๗ ตามสัญญา ท้าวกบิลพรหมก็ลงมาถามปัญหาทั้ง ๓ข้อตามที่นัดหมายกันไว้ ธรรมบาลกุมารก็วิสัชนาแก้ปัญหาทั้ง ๓ ข้อตามที่ได้ฟังมาจากนกอินทรีนั้น ท้าวกบิลพรหมยอมรับว่าถูกต้องและยอมแพ้แก่ธรรมบาลกุมาร และจำต้องตัดศีรษะของตนบูชาตามที่สัญญาไว้ แต่ก่อนที่ จะตัดศีรษะ ได้ตัดเรียกธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ เรียงตามวันคือ
๑.นางทุงษะเทวี (อาทิตย์)
๒.นางรากษเทวี (จันทร์)
๓.นางโคราคเทวี (อังคาร)
๔.นางกิริณีเทวี (พุธ)
๕.นางมณฑาเทวี (พฤหัสบดี)
๖.นางกิมิทาเทวี (ศุกร์)
๗.นางมโหธรเทวี (เสาร์)
อันโลกสมมุติว่าเป็นองค์มหาสงกรานต์ กับทั้งเทพบรรษัทมาพร้อมกัน แล้วจึงบอกเรื่องราวให้ทราบและตรัสว่าพระเศียรของเรานี้ ถ้าตั้งไว้บนแผ่นดินก็จะเกิดไฟไหม้ไปทั่วโลกธาตุ ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง เจ้าทั้ง ๗ จงเอาพานมารองรับเศียรของบิดาไว้เถิด ครั้นแล้วท้าวกบิลพรหม ก็ตัดพระเศียรแค่พระศอส่งให้นางทุงษะเทวีธิดาองค์ใหญ่ในขณะนั้น โลกธาตุก็เกิดโกลาหลอลเวงยิ่งนัก เมื่อนางทุงษะมหาสงกรานต์เอาพานรองรับพระเศียรของท้าวกบิลพรหมแล้วก็ให้เทพบรรษัท แห่ประทักษิณ เวียนรอบเขาพระสุเมรุราช ๖๐ นาทีแล้วจึงเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในมณฑป ณ ถ้ำคันธธุลี เขาไกรลาศ กระทำบูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระวิษณุกรรมเทพบุตรก็เนรมิตโลงแก้ว อันแล้วไปด้วยแก้ว ๗ ประการ ชื่อภัควดีให้เทพธิดาและนางฟ้าแล้ว เทพยดาทั้งหลายก็นำมาซึ่งเถาฉมุนาตลงล้างน้ำ ในสระอโนดาต ๗ ครั้ง แล้วแจกกันสังเวยทั่วทุกๆ พระองค์ ครั้นได้วาระกำหนดครบ ๓๖๕ วัน โลกสมมุติว่าปีหนึ่งเป็นวันสงกรานต์นางเทพธิดาทั้ง ๗ ก็ทรงเทพพาหนะต่างๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมา เชิญพระเศียรกบิลพรหมออกแห่พร้อมด้วยเทพบรรษัทแสนโกฏิ ประทักษิณเวียนรอบเขาพระสุเมรุ ราชบรรษัท ทุกๆ ปีแล้วกลับไปยังเทวโลก”
*****Get To Know Songkran Custom!
1. Songkran is the traditional Thai New Year. The festival offers not only the fun water throwing but also other interesting activities such as merits making and house cleaning, considered a way to help protect the environment.
*1. สงกรานต์เป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ของไทย กิจกรรมของสงกรานต์ไม่ได้มีแต่การเล่นน้ำเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมที่น่าจะทำอีกมาก เช่น การทำบุญ การทำความสะอาดบ้านเรือนและบริเวณบ้าน ซึ่งนับเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งด้วย
*2. The purpose of bathing or splashing water in the Songkran Festival is to give and request for blessings through water, not for the rigorous water war.
2. จุดประสงของการรดน้ำ สาดน้ำในเทศกาลสงกรานต์นั้นคือ การอวยพรและขอพรกันด้วยน้ำ มิใช่ตั้งใจให้เป็นการเล่นหรือต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย
*3. Applying soft chalk powder called "Din Saw Phong" on one’s face or body is traditionally an individual’s choice of dressing and, thus, a personal business. You should not offer unsolicited help with it. To touch others without their permission is considered an ill manner by civilised Thais.
3. การประแป้งดินสอพอง แต่เดิมเป็นเพียงการแต่งตัวตามสมัยนิยมของแต่ละคน ดังนั้นใครอยากประแป้งก็ประเอง ไม่ต้องไปประให้เขา การถูกเนื้อต้องตัวผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ไม่ใช่มารยาทที่ดีของสุภาพชน อย่าทำเลย
*4. The proper bathing is divided into two categories: - The bathing rite for the elders (aged over 60 years old, according to the old custom) as a tribute of respect and for blessings. As a youngster, you can pour scented water onto the hands of the elders without pronouncing any blessings. The elders in return will bestow their best wishes upon you. – The bathing rite for the peers or juniors. You should ask for permission before gently pouring the scented water over the person’s shoulder and down his/her back and uttering words of blessing for the New Year. However, if you are close friends, you can enjoy splashing water on each other as you wish yet with appropriate manners and moral and safety cautions.
4. การรดน้ำสงกรานต์ที่ถูกต้องมี 2 ประเภท คือ- การรดน้ำผู้ใหญ่( ธรรมเนียมดั้งเดิมนิยมว่าควรมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ) เป็นการรดน้ำเพื่อแสดงความเคารพและขอพรจากท่าน เมื่อไปรดน้ำที่มือท่าน ไม่ต้องไปอวยพรท่าน เพราะเราเป็นเด็ก รอรับพรจากท่านก็พอ ผู้ใหญ่จะเป็นผู้ให้พรเอง - การรดน้ำผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัยเดียวกันหรืออ่อนวัยกว่า เป็นการรดน้ำอวยพร ถ้าจะให้สุภาพควรขออนุญาตเสียก่อน แล้วจึงรดน้ำที่หัวไหล่ และสามารถกล่าวอวยพรได้ตามต้องการ ถ้าสนิทสนมกันอยู่แล้วก็สามารถรดน้ำและเล่นสนุกสนานได้ตามประสาเพื่อน แต่ทั้งนี้ก็ควรอยู่ในขอบเขตของมารยาท ศีลธรรม และความปลอดภัย
*5. The water used for bathing and splashing is regarded as sacred. Thus, it must be clean water, "Nam Ob" (water saturated with perfumes, either of Thai or Western origin) or scented water with floral pedals, and NOT dirty water or ice.
5. น้ำที่นำมารดและสาดกันถือเป็นสิ่งที่เป็นมงคล ดังนั้นจึงต้องเป็นน้ำสะอาด น้ำอบ น้ำหอมน้ำดอกไม้ ( ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำอบไทยเสมอไป น้ำอบฝรั่งก็ได้ ) แต่ไม่ควรใช้น้ำสกปรกหรือน้ำแข็งเด็ดขาด
*6. Traditionally, upon the bathing ritual, the elders are presented with toilet items, namely clothes, “Pha-hom”, “Pha-nung” (loin cloth), handkerchiefs, towels, soap, perfumes and powder. However, not every aforementioned article is required. You can prepare the toilet gift set as you see fit and may or may not add other presents such as flowers and sweet.
6. ของรดที่นำไปมอบให้ผู้ใหญ่ ตามธรรมเนียมมักเป็นสิ่งของที่เกี่ยวกับการอาบน้ำและการแต่งตัวเป็นหลัก เช่น เสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้านุ่ง ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู สบู่ น้ำหอม แป้ง ของเหล่านี้เป็นของหลักซึ่งจำเป็นต้องมี แต่ไม่จำเป็นต้องให้ทุกอย่างที่กล่าวมา เลือกจัดให้ตามความเหมาะสม ส่วนของอื่นๆ เช่น ดอกไม้ ขนม นั้นเป็นของประกอบ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้
*7. Making obeisance is the highest form of respect by prostrating oneself with palms pressed together and then bowing until the pressed palms, arms and forehead touch the floor in front of the person or the image one pays respect to. The palms must be kept pressed together and separated when making obeisance to the Buddha image or monks only.
7. การกราบเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง โดยการยอบตัวลง พนมมือ และก้มลงจนมือที่พนมไว้ ท้องแขน และศีรษะจดพื้น ตรงหน้าคนหรือสิ่งที่เราตั้งใจจะกราบ การกราบปกติไม่ต้องแบมือ ไม่ว่าสิ่งของหรือบุคคลนั้นจะเป็นที่เคารพอย่างสูงเพียงใด จะแบมือก็เฉพาะกราบพระพุทธรูป หรือพระสงฆ์เท่านั้น
*8. To bathe the Buddha image or any idol, it is more appropriate to pour the scented water on other parts of the Buddha image than on its head.
8. การสรงน้ำพระพุทธรูปหรือรูปเคารพ ไม่ควรรดน้ำลงตรงๆ ที่พระเศียรหรือส่วนศีรษะ ให้รดน้ำลงในส่วนอื่นๆ จะสุภาพเหมาะสมกว่า
*9. “Rod Nam Dum Hua” or paying respect through the pouring of Songkran water is the northern Old Lanna custom. The ceremony is different from those in other parts of Thailand in some details. The term ‘Dum Hua’ is dialectal and may present a wrong meaning if employed for the Songkran ceremonies elsewhere in the country.
9. การรดน้ำ ดำหัว เป็นประเพณีของไทยภาคเหนือกลุ่มล้านนา ซึ่งมีรายละเอียดบางอย่างแตกต่างเป็นพิเศษจากภาคอื่นๆ คำว่าดำหัว เป็นภาษาถิ่น ไม่ควรนำไปใช้เรียกการรดน้ำสงกรานต์ของภาคอื่นๆ เพราะจะทำให้ผิดความหมาย
*10. Songkran is the custom of all Thai people regardless of religions. Those who are not Buddhists can make merits on this occasion based on their religions and beliefs and also enjoy other activities of the Festival.
10. สงกรานต์เป็นประเพณีของคนไทยทุกศาสนา ไม่เฉพาะชาวพุทธเท่านั้น การทำบุญก็เลือกถือปฏิบัติตามแนวของศาสนาที่ตนนับถือได้ ส่วนกิจกรรมอื่นๆเป็นของกลางๆใครๆก็ปฏิบัติได้
*11. The Songkran festival is held only once a year. We would like to invite all Thai people to come out and celebrate the festival in Thai traditional costume to preserve our glorious culture. Besides, our costume is cool!
11. สงกรานต์ปีหนึ่งมีหนเดียว ขอเชิญชวนให้แต่งกายแบบไทยๆ เป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมอันดีงามของเรา เท่ และ ไม่ร้อนดีด้วย
(Taken from http://www.songkran.net/th/tips.php?)
นั่นคือสิ่งน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ก่อนจะลุยกันจริงๆ ในวันที่ 13-15 เม.ย. ของทุกปี
อย่าลืมนะครับว่า ประเพณีนี้เตือนให้เราไม่ลืมว่านี่คือ ประเพณีไทยที่ต้องช่วยกันอนุรักษ์และหวงแหน,ขอพรจากผู้ใหญ่เพื่อความเป็นสิริมงคล, รักษาความเป็นสุภาพชนไม่ฉวยโอกาส, แสดงเจตนาที่บริสุทธิ์โดยได้จากน้ำ, แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณทั้งที่มีชีวิตอยู่และล่วงลับไปแล้ว,เป็นวันรวมญาติและมีโอกาสได้ทำความดีเนื่องจากกิจกรรมส่วนใหญ่มักจะจัดที่วัด*****ความหมายดีๆของน้ำ
หากเราทำตัวให้เหมือน "น้ำ"ได้ โลกนี้ก็คงจะมีแต่ความร่มเย็น อ่านดูนะครับ
*1. น้ำ 'เย็น' น้ำในธรรมชาติ อาทิน้ำคลอง น้ำในสระในบ่อในลำธาร เป็นน้ำเย็น สบาย ไม่ร้อน เปรียบกับการทำตัวให้เย็น ทำใจให้เย็น
**2. น้ำ 'ใส' อันนี้จำไม่ค่อยได้แล้วว่าพระอาจารย์ขยายความว่าอย่างไร คงหมายถึงน้ำใสบริสุทธิ์ โปร่งใสไร้อะไรเคลือบแฝง สามารถมองทะลุลงไปลึกๆ ถึงก้นสระก้นบ่อได้
***3. ปรับได้ทุกรูปร่าง น้ำมีคุณสมบัติพิเศษ ปรับรูปร่างเข้ากับภาชนะ หรือสถานที่ที่ตนอยู่ได้เสมอ เหมือนกับผู้ที่รู้จักปรับตัวเสมอ อะลุ่มอล่วยได้กับทุกๆ คนรอบข้าง เข้ากับคนได้ทุกคน เข้าได้ทุกสถานการณ์
****4. เสมอกัน น้ำในภาชนะหรือในที่เดียวกัน น้ำแอ่งเดียวกัน เป็นต้น จะมีระดับเสมอกันเสมอ ไม่มีทิฏฐิมานะต่อกันในหมู่คณะ ไม่เทียบสูงต่ำดำขาวในกันและกัน ยอมรับและให้เกียรติต่อกันและกัน
*****5. ไม่แตกแยกจากกัน น้ำในภาชนะหรือในที่เดียวกัน น้ำแอ่งเดียวกัน จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเสมอ ต่อให้ใครมาเทหรือตักแยก เอาบางส่วนไป แต่เมื่อนำมาเทกลับ น้ำทั้งหมดก็จะ รวมตัวกันใหม่เสมอ เป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ
******6. หนักแน่นมีพลัง น้ำจำนวนน้อย ก็มีพลังไม่มาก น้ำจำนวนมาก ก็มีพลังเยอะ หนักแน่น สามารถใช้ทำอะไรต่ออะไรได้มาก เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานได้ ดังนั้น ถ้ารวมตัวกันดี รวมตัวกันมาก สามัคคีกันมาก ก็จะมีพลังมาก มีพลังมหาศาลได้ จะทำอะไรก็ย่อมสำเร็จด้วยอำนาจแห่ง พลังการรวมตัว พลังสามัคคีนั้น
เป็นอย่างไรบ้างครับ หวังว่าคงจะครอบคลุมเกี่ยวกับวันสงกรานต์ทั้งหมดนะครับ หรือท่านมีอะไรจะช่วยเสริม ด้วยความยินดีนะครับ